‘บิ๊กตู่...กู๊ดกาย’
‘บิ๊กตู่...กู๊ดกาย’ : จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง
“...ปีหน้าผมก็จะให้ของขวัญตัวเองเหมือนกัน ปีหน้าผมจะพูดให้น้อยลง หงุดหงิดน้อยลง ทะเลาะกับนักข่าวน้อยลง ต้องทำตัวเป็น Good Guy แล้วนะ ไม่ได้แล้ว 2 ปีแล้ว ที่ผมดุเดือดมากหน่อย 2 ปี เพราะว่าเป็นช่วงเริ่มต้นไงเพราะงั้นช่วงปีต่อไปเป็นเรื่องการปฏิรูป ผมบอกแล้วทุกอย่างต้องเริ่มจากตัวเองก่อน ผมปฏิรูปตัวผมเองด้วย ทุกคนที่ทำให้ผมหงุดหงิด ทำให้ผมต้องพูดเยอะ ปฏิรูปตัวเองด้วยนะ อย่าให้ผมทำคนเดียว"
คำพูดนี้ที่ทำให้นึกถึงท่อนหนึ่งของเนื้อเพลงคืนความสุขให้ประเทศไทย “เราจะตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน” แต่ทว่านี่ไม่ได้แต่งออกมาเป็นเพลง แต่เป็นการกล่าวด้วยน้ำเสียงธรรมดาแต่หนักแน่นไร้ดนตรีบรรเลงของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่พูดทิ้งท้ายในรายการคืนความสุขฯ เมื่อค่ำวันปีใหม่ 1 มกราคม 2559 ที่ถ่ายทอดสดทางทีวีและวิทยุทุกสถานี ยืนยันหนักแน่นว่าจะ “ปฏิรูปตัวเอง” เพื่อลบภาพที่เป็นคนดุดัน เสียงดัง ขี้หงุดหงิด ให้ได้
“บิ๊กตู่” พูดแบบนี้ก็เป็นที่จับตาทันทีของกระจิบกระจอกข่าว เมื่อทำเนียบรัฐบาลกลับมาเปิดทำการตามปกติในศักราชใหม่ก็ “สัมผัสได้” ถึงความเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับลุคให้เป็น “บิ๊กตู่ กู๊ดกาย”
จากปกติที่พบเจอ เมื่อมีโอกาสให้สัมภาษณ์ต่อนักข่าว บิ๊กตู่ก็จะใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมงในการให้สัมภาษณ์กว่าจะโบกลือลาบ๊ายบายสลายโต๋ หนำซ้ำบรรยากาศการให้สัมภาษณ์แต่ละครั้งยังมีกลิ่นอายได้ถึงอุณหภูมิที่แสนจะครุกรุ่น ดุเดือดและเสียงดังจนภาพและข่าวออกมาสู่ประชาชนก็จะเห็นแต่ภาพความเกรี้ยวกราดของนายกฯ
หรือถ้าจะเป็นภารกิจในลักษณะของการกล่าวปาฐกถา บรรยายพิเศษ มอบนโยบาย หรือให้โอวาท ก็จะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง ก็เช่นกัน คือกว่าจะพูดจบก็มีเรื่องพาดพิงทำให้ตัวเองอารมณ์ขึ้นและหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดในหลายต่อหลายเวที
แต่นั่นคือ “ภาพลักษณ์เก่า” !!
เพราะนับตั้งแต่ 4 มกราคม 2559 วันแรกของการเปิดทำการตามปกติของทำเนียบรัฐบาล ที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ก็เข้าปฏิบัติภารกิจตามปกติ และถูกจับจ้องเป็นพิเศษว่าจะ “ปรับลุค” ตามที่ลั่นวาจาได้หรือไม่อย่างไร และจะยืนระยะได้นานเท่าไร แต่เรียกได้ว่าทุกการให้สัมภาษณ์หลังปีใหม่ที่ผ่านมา ทั้งถูกจับตา และ “จับเวลา” แทบจะทุกครั้ง
จึงมีโอกาสจับเวลาเป็นสถิติตัวเลขเฉพาะการให้สัมภาษณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ในช่วงสัปดาห์แรกหลังปีใหม่ ตั้งแต่วันที่ 4-8 มกราคม มีระยะเวลาที่ “พูดน้อยลง” น่าสนใจ คือ
วันจันทร์ที่ 4 มกราคม ใช้เวลาสัมภาษณ์เพียง 2.47 นาที วันอังคารที่ 5 มกราคม 7.30 นาที วันที่พุธที่ 6 มกราคม 5 นาที วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม 8 นาที และศุกร์ที่ 8 มกราคม ในงานเลี้ยงปีใหม่ของสื่อมวลชนทำเนียบ พูดเยอะหน่อยประมาณ 30 นาที
เรียกว่าทั้งสัปดาห์ “ตู่นิวลุค” ให้สัมภาษณ์สื่อประมาณ 52 นาที เท่านั้น
ในแง่ของระยะเวลาในการพูด “เปี๊ยนไป๋” จริงๆ แต่ในแง่ของอารมณ์ก็ยังมีให้เห็นบ้างในบางประเด็นที่ถูกถามถึง อย่างเช่น การตอบคำถามเรื่องการแจกปฏิทินปีใหม่ของพรรคเพื่อไทย ที่มีรูป “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” อยู่ในปฏิทิน แม้จะตอบไม่ยาวมาก แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงและอารมณ์ที่ยังแฝงไปด้วยความดุดันอยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายยังสามารถยั้งตัวเองไว้ไม่ให้ต่อความยาวสาวความยืด
วิถีที่เปลี่ยนไปของผู้นำได้รับการอธิบายจาก พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาลที่บอกถึงปรากฏการณ์นี้ว่า “การพูดน้อยลงของนายกฯ คิดว่าท่านคงพิจารณาแล้ว แต่คำที่บอกว่าท่านพูดน้อยลงไม่ได้หมายความว่าท่านจะหมายถึงการไม่ตอบคำถามอย่างเดียว เพียงท่านจะไม่ตอบทุกเรื่องเหมือนที่ผ่านมา คงไม่ลงรายละเอียดทุกเรื่องเหมือนที่ผ่านมา คงจะไม่ตอบทุกเรื่องเหมือนที่ผ่านมา ท่านคงจะเลือกหยิบเฉพาะประเด็นที่สำคัญที่คิดว่ามีความจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับสังคม มีความจำเป็นจะต้องตอบคำถามนี้ให้สังคมเกิดความกระจ่างในเนื้อหาสาระ”
ภายใต้สิ่งที่เปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรมาทดแทน เพราะในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกของปี 2559 เมื่อวันที่ 5 มกราคม มีข้อสั่งการของ “บิ๊กตู่” ที่น่าสนใจ ในการมอบหมายให้ปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง ตลอดจนอธิบดี ช่วยให้ข่าวต่อสื่อมวลชน และให้ทุกกระทรวงแต่งตั้ง “โฆษกกระทรวง” ของตัวเองอย่างเป็นทางการและปฏิบัติงานอย่างจริงจัง
“ของเดิมรัฐมนตรีอาจจะตั้ง ปลัดอาจจะตั้ง แต่ ครม.ก็ไม่ได้รับทราบ มีหน้าที่ในการปฏิบัติแต่ผ่านมาระยะหนึ่งก็ไม่ได้ปฏิบัติเต็มที่ ดังนั้น การบีบบังคับให้ปฏิบัติเต็มที่คือทำให้ดูเป็นทางการว่า ครม.ได้เห็นชอบรายชื่อโฆษกทุกกระทรวง เห็นชอบ มีตัวตน มีหมายเลขโทรศัพท์ ต่อไปก็เป็นหน้าที่ประสานงานระหว่างโฆษกกระทรวงกับโฆษกรัฐบาล เพื่อให้รู้ว่าใครเป็นใคร มีตัวเลือกมากขึ้น”
แต่การมีโฆษกกระทรวงนั่นไม่ได้หมายความว่าปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง อธิบดี จะมีเวลาว่างมากขึ้น เพราะนายกฯ บอกว่าเรื่องอะไรที่เป็นเรื่องเฉพาะทางที่บางครั้งคนเป็นโฆษกก็ไม่สามารถอธิบายชี้แจงได้เข้าใจได้ เพราะถ้าเป็นข้อมูลลึกท่านจะต้องช่วยโฆษกอธิบายเพิ่มเติมด้วย เพราะทุกคนต้องทำหน้าที่ทั้งการบริหาร บังคับบัญชาและทำหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ด้วย ซึ่งโฆษกกระทรวงที่ได้รับการชื่นชมในการเป็นต้นแบบในการทำงาน ได้แก่ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ที่มีการทำงานกันแบบบูรณาการงานกันข้ามกรมได้อย่างดี อันเนื่องมาจากมีการวางแผนงานและการให้ความร่วมมือกันภายในกระทรวงในหลายยุคที่ผ่านมา
ทั้งนี้ จะว่าไปคำสั่งให้ ปลัดกระทรวง โฆษกกระทรวง ออกมาแอ็กชั่นในการให้ข่าวต่อสื่อมากขึ้นไม่ใช่คำสั่งใหม่และไม่ใช่เรื่องใหม่ของการประชาสัมพันธ์งานรัฐบาล เพราะย้อนไปในการประชุม ครม.ช่วงกลางเดือนมีนาคม 2558 นายกฯ ก็เคยสั่งลักษณะนี้มาครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ก็ปฏิบัติได้บ้างไม่ได้บ้าง คือสั่งให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ปลัดกระทรวง อธิบดีกรม แถลงข่าวด้วยตัวเองภายหลังการประชุมเสร็จสิ้น ให้เชิญนักข่าวมาทำข่าวแถลง “อย่าหนีนักข่าว”
ทั้งนี้ จะว่าไปคำสั่งให้ ปลัดกระทรวง โฆษกกระทรวง ออกมาแอ็กชั่นในการให้ข่าวต่อสื่อมากขึ้นไม่ใช่คำสั่งใหม่และไม่ใช่เรื่องใหม่ของการประชาสัมพันธ์งานรัฐบาล เพราะย้อนไปในการประชุม ครม.ช่วงกลางเดือนมีนาคม 2558 นายกฯ ก็เคยสั่งลักษณะนี้มาครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ก็ปฏิบัติได้บ้างไม่ได้บ้าง คือสั่งให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ปลัดกระทรวง อธิบดีกรม แถลงข่าวด้วยตัวเองภายหลังการประชุมเสร็จสิ้น ให้เชิญนักข่าวมาทำข่าวแถลง “อย่าหนีนักข่าว”
รวมถึงข้าราชการการเมืองอื่นๆ เช่น ที่ปรึกษาฯ ผู้ช่วยฯ หรือกระทั่งเลขานุการของรัฐมนตรี ก็สามารถช่วยให้ข้อมูลสื่อมวลชนด้วย เพราะ “บิ๊กตู่” บอกว่า “เขาตั้งให้มาทำงาน ไม่ได้ให้มาอยู่เฉยๆ เพราะทุกกระทรวงจะให้นายกฯ พูดแทนหมดคงไม่ไหว”