วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2558
ขยายทำงาน-สร้างหลักประกันรองรับ‘สังคมผู้สูงวัย’
ขยายทำงานหลังเกษียณ-สร้างหลักประกันมั่นคง รองรับ‘สังคมผู้สูงวัย’ :
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” ที่จำเป็นต้องเตรียมการไว้รองรับและในส่วนภาครัฐก็ต้องตื่นตัวเพื่อวางมาตรการให้สอดคล้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ชี้แจงในรายการ “ชั่วโมงที่ 26” ทางสถานีโทรทัศน์ดิจิทัล NOW 26 ถึงกรณีที่ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ว่า ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตั้งแต่ปี 2548 เมื่อดูตัวเลขประชากรพบว่าตอนนี้เรามีผู้สูงอายุหรือวัย 60 ปีขึ้นไปประมาณ 10 ล้านคน หรือคิดเป็น 14% ของประชากรทั้งหมด หากดูโครงสร้างประชากร อีก 13 ปี หรือในปี 2570 จะมีผู้สูงอายุประมาณ 16 ล้านคน ถือว่าเป็น 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด ฉะนั้นโครงสร้างจะเปลี่ยน ประชากรที่อยู่ในช่วงผู้สูงอายุจะเป็นกราฟแท่งขึ้นมา ส่วนที่เล็กลงไปคือวัยแรงงานและวัยเด็ก ก็จะค่อยๆ หายไป อีกทั้งรูปแบบของสังคมก็จะเป็นสังคมที่เล็กลงจึงเป็นสถานการณ์ที่เราจะต้องประเมินและทำยุทธศาสตร์หรือแผนรองรับ
“ทำอย่างไรให้ผู้สูงอายุที่อยู่กับเราในอนาคต เป็นคนที่มีสุขภาพดี รวมทั้งเป็นคนที่มีหลักประกันความมั่นคง และได้ใช้ประสบการณ์มาตอบแทนสังคม ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลให้ความสำคัญและจะขับเคลื่อนต่อไปในเรื่องเกี่ยวกับศูนย์สุขภาพหรือให้ผู้สูงอายุได้มีงานทำ ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะทำต่อไป” พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวถึงทิศทางอนาคต
พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวอีกว่า เมื่อคนเรามีอายุยืนขึ้นก็ต้องมาดูว่าจะทำอย่างไรให้มีอายุยืนที่มีคุณภาพ คือมีสุขภาพดีและมีสติปัญญา ซึ่งอาจจะนำประชากรกลุ่มนี้มาทำงานต่อ เช่น การขยายเวลาการเกษียณออกไป ซึ่งตำแหน่งตุลาการศาลได้ทำมานานแล้ว อยู่ที่อายุ 65–70 ปีก็มีมาทำงานต่อ หรือว่าผู้ที่มีวิชาชีพที่สำคัญของสายวิชาการ ด้านการแพทย์ ด้านเทคนิค ด้านช่างศิลป์ ซึ่งแต่ละวิชาชีพมีงานทำต่อไปได้ และจากการติดตามและข้อมูลเกี่ยวกับแรงงานภาคสนาม เห็นว่าสังคมผู้สูงอายุที่มาจากสังคมที่อบอุ่นมีการเกื้อกูลกันและมีครอบครัวที่ดี ตลอดจนมีการออกกำลังกายสม่ำเสมอ พบว่าคนกลุ่มนี้มีอายุยืน ทำให้เห็นว่ายิ่งทำงานไปก็ยิ่งมีคุณภาพ ดังนั้น จึงต้องให้ความรู้ต่อสังคมในเรื่องนี้ยิ่งขึ้น
ในส่วนที่มีช่องว่างการดูแลผู้สูงอายุในชนบทและในเมืองที่ต่างกันจะทำให้ช่องว่างนี้ลดลงได้ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในกรณีการขับเคลื่อนโดยคณะกรรมการที่มี นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกฯ เป็นประธานในการขับเคลื่อน เราเน้นไปยังระดับท้องถิ่น ชุมชน มีศูนย์ดูแลสุขภาพผู้อายุ 878 แห่งทั่วประเทศ พยายามให้ชุมชนเข้ามาและท้องถิ่นสร้างระบบดูแลกันเอง มีการฝึกอบรมอาสาสมัครชุมชนอีก 8 หมื่นกว่าคนเพื่อดูแลผู้สูงอายุ เป็นการขับเคลื่อนนโยบายระดับชาติลงไปท้องถิ่น
พล.ต.อ.อดุลย์ เห็นว่า หากมองไปข้างหน้า ปี 2578 เป็นปีที่ประเทศไทยจะต้องก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด หน้าตาจะเป็นอย่างไร คงเป็นสังคมที่มีผู้สูงอายุมาก กลไกด้านแรงงานก็น้อยลง การปรับตัวทุกภาคส่วนจึงเป็นปัจจัยสำคัญ โดยใช้เวลาที่มีอยู่ขับเคลื่อนไป ทุกอย่างต้องปรับตัว ต้องมีเทคโนโลยีเข้ามา หลักประกันเรื่องความมั่นคงของสุขภาพและการออมต่างๆ เข้ามาดูแล
“ก่อนที่จะเข้าก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ จะต้องหันมาดูแลตัวเอง เพราะค่ารักษาสุขภาพนั้นแพง ฉะนั้นผู้สูงอายุต่อไปจะต้องมีสุขภาพดีหลังเกษียณและต้องมีโอกาสได้ทำงานต่อ การที่ได้ออกมาเคลื่อนไหว ออกมาทำงานและได้ใช้ประสบการณ์ ดังนั้น ต้องสร้างตัวเองให้ดีให้เกิดการยอมรับและทำงานต่อได้ รวมทั้งเรื่องการออม เพื่อใช้เงินในระหว่างเกษียณอย่างพอใช้ และมีการบริหารการเงินอย่างมีระบบ และพึ่งตัวเองให้มากที่สุด” พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวย้ำหลักการรองรับสังคมผู้สูงวัย
ด้าน “อนุสันต์ เทียนทอง” อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กล่าวว่า จะต้องให้กำลังใจ เปลี่ยนภาระให้เป็นพลังให้ได้ ซึ่งผู้สูงอายุจะต้องเป็นพลังของสังคม เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาสังคม และเรื่องคลังปัญญาผู้สูงอายุเป็นส่วนสำคัญในการให้ความรู้และถ่ายทอดภูมิปัญญาสู่คนรุ่นต่อๆ ไป
อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กล่าวถึงโครงสร้างประชากรว่า อนาคตเด็กจะเกิดน้อยลง อาจจะไม่ถึง 1% สมัยก่อนจะอยู่ที่กว่า 2% อีกทั้งขนาดครอบครัวก็เล็กลง โดยครอบครัวสมัยก่อนเฉลี่ยอยู่ที่ 4.1 คน แต่สมัยนี้เหลือเพียง 2 กว่า เพราะคนส่วนใหญ่ไม่อยากมีลูก และต่อไปก็จะอยู่คนเดียวลำพัง ขนาดตรงนี้ก็จะทำให้เด็กเกิดน้อย วัยแรงงานที่จะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุก็จะสูงขึ้น ฉะนั้นประชากรผู้สูงอายุก็จะมีโอกาสสูงขึ้นทุกปี เท่ากับว่าต่อไปวัยแรงงานจะต้องแบกภาระกับผู้สูงอายุกลุ่มก้อนนี้ต่อไป
ส่วนที่คาดการณ์ประชากรผู้สูงอายุอยู่ที่ 20% ของประชากรทั้งหมด คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2564 หรืออีก 6 ปีจากนี้ไป ซึ่งจะเรียกว่าสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ และอีกขั้นหนึ่งคือสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด หรือมีประชากรผู้สูงอายุ 30% ของประชากรทั้งหมด คิดว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร อนุสันต์ อธิบายว่า นิยามของพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ คือ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เรื่องที่เป็นปัญหาหลักของผู้สูงอายุ คือ สุขภาพอนามัย เรื่องของรายได้ เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องสังคม ที่เรากำลังทำอยู่วางแผนงานและยุทธศาสตร์ที่จะต้องรีบทำเพื่อให้สังคมตระหนักและก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ
ส่วนแผนระยะยาวจะมีแผนรองรับในเรื่องยุทธศาสตร์ต่างๆ ทั้งยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะกระทรวงแรงงาน เรื่องรายได้ มีงานทำ ถือเป็นเรื่องหลัก ทำอย่างไรจะทำให้ผู้สูงอายุได้มีโอกาสก้าวเข้าสู่งานหรือได้มีโอกาสทำงานอย่างต่อเนื่อง เช่น ภาคเอกชนที่ทราบว่าเกษียณอยู่ที่อายุ 55 ปี ฉะนั้นในจุดนี้ ทั้งในส่วนภาคเอกชน เรื่องการขยายอายุ การเพิ่มโอกาสมีงานทำ ภาคราชการก็ต้องส่งเสริมด้วย เรื่องของการจูงใจ อย่างในตอนนี้ก็มีการลดหย่อนภาษีแก่ผู้ที่เอาบิดามารดามาเลี้ยงดูก็จะไม่เป็นการผลักภาระ
อนุสันต์ ยกตัวอย่างระบบจัดการผู้สูงอายุในต่างประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุก่อนหน้าไทย แต่เศรษฐกิจประเทศดี ประชาชนเข้าถึงหลักประกันรายได้ ก็จะมีความเข้มแข็ง ซึ่งมีทั้งภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรม คนทั้งสองกลุ่มนี้เข้าถึงหลักประกันรายได้ คล้ายกับการมีประกันสังคม เพื่อที่จะรองรับไว้ในอนาคตหลังจากเกษียณอายุ เพราะฉะนั้นกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ต้องห่วงเลยพอเกษียณอายุก็มีเงินตัวนี้รองรับ ขณะที่สิงคโปร์ไม่มีพื้นที่เกษตรกรรมเป็นเกาะ ส่วนใหญ่จะเป็นอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่อยู่ในวัยแรงงานเข้าสู่ระบบโรงงานอุตสาหกรรมที่มีหลักประกันในเรื่องของประกันสังคมเหมือนกับการออมไว้ใช้จ่ายในยามเกษียณอายุ
“เขาเป็นคนรวยก่อนเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ขณะที่ประเทศไทยมีชาวไร่ ชาวนา ที่ประกอบอาชีพอิสระ มีคนที่ยังยากจนจำนวนมาก เพราะฉะนั้นการเข้าถึงหลักประกันรายได้ ถ้าเป็นข้าราชการก็อาจจะมีบำเหน็จบำนาญ ภาคธุรกิจก็จะมีระบบประกันสังคม แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังทำไร่ทำนาอยู่ ซึ่งคนเหล่านี้ยังไม่สามารถเข้าถึงหลักประกัน พอเมื่อเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุก็จะมีอย่างเดียว คือเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่จ่ายให้ระบบขั้นบันได” อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุกล่าวถึงปัญหาในปัจจุบันที่คนไทยส่วนใหญ่โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมยังเข้าไม่ถึงหลักประกันรายได้ยามเกษียณหรือสูงวัย
อนุสรณ์ ชี้ถึงการรองรับอีกส่วนด้วยว่า เรื่องผู้สูงอายุจะต้องมองว่าต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต ระบบการศึกษาอาจจะต้องปรับตัวเรื่องของการศึกษานอกระบบ ทำอย่างไรที่จะให้ผู้สูงอายุที่ไม่มีโอกาสเรียนในช่วงอายุปกติได้เข้าไปสู่ในระบบนี้ เรื่องระบบไอที เรื่องขนส่งคมนาคม ที่ขณะนี้อารยสถาปัตย์ก็ได้ทำกันอยู่ ที่มีการส่งเสริมให้คนพิการ ซึ่งคนพิการกับผู้สูงอายุเหมือนกัน คือจะต้องใช้ทางลาด ใช้อุปกรณ์ แม้แต่ในบ้านเรือนก็ต้องมีการปรับที่อยู่อาศัย ทางลาด ห้องน้ำ บันได ราวเกาะ เป็นสิ่งที่จะต้องทำตลอดและเตรียมความพร้อมในสิ่งเหล่านี้
พร้อมย้ำว่า ภาคราชการ เอกชน ต้องเปิดโอกาสเรื่องขยายอายุ ขยายเวลาทำงานออกไป เพราะจะไปหวังพึ่งแรงงานเพื่อนบ้านคงไม่ได้ จึงคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสของเราที่จะให้โอกาสแก่ผู้สูงอายุที่ยังมีความสามารถ มีความเชี่ยวชาญและสะสมประสบการณ์ รวมทั้งในส่วนของสังคมจะต้องเอื้ออาทรโดยเฉพาะครอบครัว ชุมชน จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมที่ช่วยดูแลและทำอย่างไรที่จะรองรับสังคมผู้สูงอายุในทุกๆ ด้าน